2555-05-26

เมื่อไก่ตัวโปรดของคุณอาหารไม่ย่อยจะทำอย่างไรดี

        อาหารที่ไก่ชนกินเข้าไปจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาวะการย่อยบกพร่องซึ่งสามารถจำแนกการกินอาหารได้หลายกรณีด้วยกันคือ
1.กินอาหารที่เป็นกรดหรือด่างเกินไป ได้แก่ของบูด ของเน่าเสีย(ข้าวบูด,เศษอาหารค้างคืน)ยากำลัง ยาโด๊ป เป็นต้น
2.การกินอาหารที่ย่อยยากหรือกินจำนวนมากเกินไป เช่น ข้าวเปลือก ข้าวโพด แต่ส่วนมากจะเป็นกรณีที่กินมากเกินไปและกินน้ำน้อยทำให้ขบวนการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ย่อยอาหารไม่หมดและเหลือสิ่งตกค้างเน่าเสียและเกิดกรดเกินที่กระเพาะอาหารในที่สุด
3.กินสิ่งแปลกปลอม ได้แก่ สารเคมี(เมล็ดธัญพืช,พืชผัก,หญ้า)พลาสติก โฟม เหล็ก อลูมิเนียม เป็นต้น กรณีที่กินเมล็ดธัญพืชที่ปนเปื้อนสารเคมีนั้นจะพบว่าจะเป็นสารเคมีจำพวก ยาฆ่าหญ้าซึ่งจะมีความเป็นพิษรองลงมาจากยากำจัดศัตรูพืช อย่างเช่น ฟูราดาน แลนเนต ถ้าเป็นสารเคมีจำพวกนี้ถ้าไก่ได้รับเข้าไปในปริมาณที่น้อยนิดก็สามารถทำให้ไก่ตายได้ ส่วนยาฆ่าหญ้านั้นไก่จะได้รับความเป็นพิษน้อยกว่าในปริมาณที่เท่ากัน ผลกระทบของยาฆ่าหญ้านั้นคือไก่จะปวดท้อง ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดภาวะอาหารไม่ย่อยในที่สุด ส่วนกรณีของพลาสติก เหล็ก โฟม และอลูมิเนียมนั้น ไก่จะกินสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ เนื่องจากไก่ของท่านขาดแร่ธาตุบางชนิดซึ่งมักจะเกิดในไก่ที่ขังติดสุ่มเป็นเวลานานๆไม่ได้ปล่อย
การป้องกันและการรักษา1.กรณีกินอาหารที่เป็นกรดด่างควรให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารเป็นลำดับแรก เช่น อีโน ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว แต่ถ้า 3-4 ชั่วโมงผ่านไปแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรให้ยาปฏิชีวนะจำพวกนอร์ฟรอกซาซิน 500 มก.ครึ่งเม็ด แต่ถ้าวันรุ่งขึ้นอาหารยังไม่ย่อยอีกควรใช้วิธีการล้างกระเพาะโดยใช้สายยางสอดหรือกรอกน้ำให้เต็มกระเพาะ ห้อยหัวไก่ลง แล้วรีดเอาของเสียและเศษอาหารออกให้หมดแต่ถ้ายังไม่หมดก็ต้องใชวิธีสุดท้ายคือการเจาะกระเพาะเอาอาหารออก และควรใช้ยาปฏิชีวนะทุกครั้งหลังการเจาะกระเพาะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

2.กรณีกินอาหารที่ย่อยยากหรือกินจำนวนมากเกินไป ควรให้ไก่กินยาช่วยย่อยและกินน้ำตามมากๆ งดอาหารทุกอย่างยกเว้นน้ำให้สังเกตเป็นระยะๆทุกๆ 3 ชั่วโมงว่าอาหารยุบลงไปหรือเปล่า ถ้ายุบตอนเย็นควรให้อาหารที่เป็นอาหารอ่อน ผัก ผลไม้ เช่น กล้วย ส้มโอ ส้มเกลี้ยง มะละกอ สับปะรด(ควรให้ในปริมาณที่พอเหมาะ)แต่ในกรณีที่อาหารไม่ยุบลงเลย ภายในระยะเวลา 2 วัน ควรรีบเจาะกระเพาะเอาเศษอาหารออกทันที ก่อนเศษอาหารจะเน่าเสียกว่านี้ซึ่งไก่ก็จะโทรมลงไปตามลำดับด้วย
3.กรณีกินสิ่งแปลกปลอม เช่น เหล็ก โฟม พลาสติก อลูมิเนียมเข้าไปโดยธรรมชาติแล้วไก่จะขับสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ออกมากับอุจจาระมีจำนวนน้อยมากที่สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้จะติดค้างอยู่ในกระเพาะอาหารแต่ถ้าเกิดตกค้างไก่จะเกิดภาวะอาหารไม่ย่อยจะมีการรักษาอยู่วิธีเดียวคือ การเจาะกระเพาะเอาสิ่งแปลกปลอมออกเท่านั้น แต่ถ้าเป็นสารพิษก็ต้องล้างกระเพาะเอาสารพิษออกให้หมดเช่นกันโดยวิธีการกรอกน้ำให้เต็มกระเพาะ ห้อยหัวไก่ลง รีดเอาสารพิษและเศษอาหารออกหรือจะเป็นวิธีการเจาะกระเพาะก็ว่ากันไปตามความถนัดและสถานการณ์  

        ภาวะการเจ็บป่วยของร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารไม่ย่อยได้เช่นกัน เช่น เป็นเนื้องอก เป็นปรวดบริเวณกระเพาะ โรคของระบบลำไส้ โรคหวัด โรคนิวคาสเซิล เป็นต้น การรักษาในกรณีนี้จะต้องรักษากันตามอาการ ถ้าเป็นผลกระทบที่เกิดจากเชื้อโรคแล้วจะต้องรักษาที่สาเหตุก่อน คือการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อต้านจุลชีพ เมื่อไก่หายจากโรคนั้นๆแล้วระบบต่างๆที่ทำงานผิดปกติก็จะกลับมาทำงานได้อย่างปกติ ยกเว้นในกรณีเรื้อรังอวัยวะบางส่วนอาจสูญเสียหน้าที่ไป ส่วนกรณีที่เป็นปรวดบริเวณกระเพาะซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้กระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ การรักษาเริ่มแรกควรให้ยาลดปวด เช่น ยาพาราเซตามอลครึ่งเม็ดทุกครั้งที่ไก่มีอาการปวดเพื่อป้องกันการเกิดอาการไข้ ตัวร้อน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการทำงานของกระเพาะอาหารและควรให้ยาปฏิชีวนะจำพวกกลุ่มยาเพนนิซิลินเพื่อลดการเกิดหนองที่ปรวดโดยตรงหรือใช้ยาเพนสเตร็ปแอลเอฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 cc. 2ครั้ง ทุกๆ 3 วัน และห้ามแกะหรือกวนบาดแผลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ปรวดอักเสบมากยิ่งขึ้น รอจนปรวดสุกรวมกันได้ที่แล้วจึงผ่าเอาปรวดออกระยะเวลาที่รอปรวดสุกนั้น ควรให้อาหารเสริมและยาบำรุงควบคู่กันไปด้วยเพื่อป้องกันการทรุดโทรมของร่างกายในระยะที่กินอาหารได้น้อยลง
        ภาวะความบอบช้ำหลังการชนหรือการปล้ำซ้อม
การรักษามีดังนี้

1.ภายหลังการชนหรือการปล้ำซ้อม ถ้าไก่ของท่านถูกตีลำตัว กระเพาะหรือการปล้ำซ้อมมาหนัก ในตอนเย็นของวันนั้น ควรให้ไก่กินอาหารอ่อนและยาช่วยย่อย วันละ 1 เม็ด
2.ให้ยาปฏิชีวนะจำพวกอ็อกซี่เตรตร้าซัยคลิน เจนตร้ามัยซิน หรือเพนสเตร็ปแอลเอ เด็กซ่าเมทธาโซน เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังชน

3.ควรใช้ความร้อนประคบเพื่อเร่งให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้นและเพื่อลดความบอบช้ำ
4.ควรให้อาหารอ่อน ผัก ผลไม้ เช่น ข้าวต้ม สับปะรด มะละกอ ส้มโอ เพื่อช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างปกติ

        การเป็นพยาธิของไก่ซึ่งเกิดจากตัวอ่อนพยาธิตัวกลมบางชนิด ส่วนมากเรามักจะทราบสาเหตุก็ต่อเมื่อไก่ได้ตายไปแล้ว แล้วผ่าซากดู วิธีการสังเกตว่าไก่เป็นพยาธิหรือไม่ คือ
        1.ไก่จะกินอาหารน้อยลง เบื่ออาหารหรือกินน้อย แต่อาหารก็ย่อยไม่หมด
        2.ไม่สดชื่น เซื่องซึม หงอย
        3.ไม่พบอาการเป็นหวัดหรือมีน้ำมูก
        4.ขนลุกขนพองเป็นระยะๆ
        5.ผอมแห้งแรงน้อย

วิธีการรักษา ให้ยาฆ่าพยาธิชนิดตัวกลม เช่น เบนดร้า ไอเวอร์เมคติน

2555-05-07

การแก้อาการหอบหืดในไก่ชนแบบโบราณและปัจจุบัน

         คนเลี้ยงไก่รุ่นใหม่เวลานำไก่ไปตีถ้าไก่มีอาการหอบมากๆ ส่วนใหญ่จะลงความเห็นว่ากราดแดดไก่น้อยไปบ้าง กราดแดดยังไม่ถึงบ้าง ก็แล้วแต่แง่คิดกันไป แต่ก็ยังมีปัจจัยอีกอย่างหนึ่งจากการวิเคราะห์และเฝ้าสังเกตซึ่งทำให้ไก่หอบมากขึ้นได้แก่ อุณหภูมิอากาศสูง อุณหภูมิของร่างกายไก่สูง การเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ออกซิเจนในเลือดน้อย ปอดเล็ก โครงสร้างร่างกายบอบบาง(กรรมพันธุ์)ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักพื้นฐานอาการหอบของไก่ก่อนนะครับ
         เมื่อไก่ออกกำลังหรือชนอยู่นั้นอุณหภูมิของร่างกายไก่ก็จะสูงขึ้นเนื่องจากไก่ต้องการพลังงานมาใช้ซึ่งขบวนการเผาผลาญพลังงานก็ยิ่งมากขึ้นและยิ่งใช้แรงใช้กำลังมากขึ้นก็ยิ่งเร่งให้มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้นอีกเมื่อเผาผลาญพลังงานมากก็ต้องใช้ออกซิเจนมากขึ้นซึ่งการเติมออกซิเจนก็มาจากการหายใจเข้าปอดแล้วฟอกเลือดเสียให้เป็นเลือดดีนั่นเองโดยตัวที่นำออกซิเจนไปใช้ในการเผาผลาญพลังงานที่เซลก็คือเม็ดเลือดแดง(ฮีโมโกลบิน)ซึ่งขบวนการนำออกซิเจนมาฟอกก็ขึ้นอยู่กับขนาดของปอด ถ้าปอดใหญ่ก็มีพื้นที่ฟอกเลือดแล้วเติมออกซิเจนได้ดีกว่าปอดเล็ก รวมทั้งเม็ดเลือดแดงถ้ามีในไก่มากก็จะรับออกซิเจนได้มากด้วยซึ่งตัวผลิตเม็ดเลือดก็มาจากไขกระดูกถ้าโครงสร้างกระดูกใหญ่ก็ผลิตได้มาก นอกจากนั้นระบบหลอดลมก็มีส่วนเช่นกันหากหลอดลมเล็ก มีการอุดตัน (คอดอก) การหายใจเอาออกซิเจนลำบาก ไก่ก็จะพยายามอ้าปากหายใจมากขึ้นการหอบก็มากขึ้นจะเห็นว่าอาการหอบนั้นก็มีหลายปัจจัยร่วมกันยิ่งลักษณะการชนของไก่เชิง ไก่ไทยแล้วก็ใช้แรงเยอะอาการหอบก็ยิ่งมากขึ้นเพราะต้องใช้แรงบด แรงบี้ เท่าที่สังเกตหากไก่มีอาการหอบมากๆในยกแรกพอยกต่อไปมักไม่ค่อยตี หรือบางตัวหอบมากๆก่อนหมดยกเป็นอันหนีก่อนซึ่งพบเห็นบ่อยตามสนามโดยเฉพาะไก่ที่ตีในหน้าร้อน ไก่พวกม้าล่อที่พาวิ่งมันก็อาจใช้จุดเด่นที่มันมีปอดใหญ่แล้วพาคู่ต่อสู้วิ่งจนหอบและหมดแรงก่อนแล้วค่อยหันมาตีก็เป็นความฉลาดของไก่สายนี้แต่บางทีก็มีบ้างที่ประเมินคู่ต่อสู้ผิดไปเพราะตัวเองก็หมดแรงก่อนวิ่งไม่ไหวต้องยอมให้คู่ต่อสู้จับเตะได้
         วิธีแก้ไขเรื่องอาการหอบของไก่นั้นไม่สามารถบอกได้หมดต้องสังเกตดูเป็นตัวๆไปว่าสาเหตุที่หอบมาจากสาเหตุอะไรบ้าง เช่น
         สายพันธุ์ ไก่ที่หอบมากๆไม่ควรนำมาทำพ่อแม่พันธุ์ นั่นแสดงให้เห็นว่าไก่ปอดเล็ก โครงสร้างกระดูกบอบบาง เท่าที่สังเกตไก่ไซง่อน ไก่พม่าจะหอบน้อยกว่าไก่ไทยอาจเป็นเพราะไก่เหล่านั้นมาจากแหล่งกำเนิดที่เป็นพื้นที่สูง การพัฒนาเรื่องปอดจะดีกว่าไก่พื้นที่ต่ำเพราะอากาศในพื้นที่สูงจะมีออกซิเจนน้อยเบาบาง การฟิตซ้อมที่ดีทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ปอดขยายใหญ่ อาการหอบก็จะน้อยลง
         การกราดแดด เป็นการฝึกให้ไก่ทนอากาศร้อนเพราะอากาศร้อนทำให้การเผาผลาญพลังงานสูงขึ้น อาการหอบก็จะมากขึ้นจึงต้องฝึกไก่ให้สามารถทนร้อนได้แต่ขอบอกว่าการกราดแดดเพื่อลดน้ำหนักไก่นั้นไม่ควรทำแต่ควรเน้นการออกกำลังกายให้มากขึ้น และข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งคือระวังอย่าให้ไก่น็อคแดดเพราะจะทำให้เสียไก่ไปเลย ถ้าเป็นไก่พม่าหรือไก่ไซง่อนรวมทั้งพม่า-ง่อน กราดแดดแค่พอตัวแห้งก็เพียงพอแล้ว
         วิตามิน การเสริมวิตามินบีให้ไก่ชนกินตลอดการเลี้ยงซึ่งมีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ดเพราะวิตามินบีช่วยผลิตเม็ดเลือดและเผาผลาญพลังงาน
         หลอดลม ต้องหมั่นตรวจหลอดลมไก่ชนว่าไม่เป็นโรคคอดอกหรือหลอดลมอักเสบ โรคคอดอกเกิดจากเชื้อโปรโตซัวชื่อ Trichomonas gallinae(ทริโคโมนาส กัลลิแน)ก็รักษาโดยให้ยาเมโทรนิดาโซล ครั้งละครึ่งเม็ดให้กินเช้าเย็นติดต่อกัน 7-10 วัน หาซื้อได้ตามร้านขายยาคนเม็ดละ 1 บาทเท่านั้น ส่วนหลอดลมที่อักเสบ คอดัง คอครอกก็ให้ยาพวกไซโปรฟล็อกซาซินหรือออฟฟล็อกซาซินให้กินติดต่อกันครั้งละครึ่งเม็ดเช้า-เย็น กิน 5 วัน
         ส่วนระหว่างการชนหากมีอาการหอบคนสมัยก่อนมักจะให้ดินเหนียวกินซึ่งมีการทดลองทำแล้วก็ไม่ปรากฏผลว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะให้ต้องระวังดินสกปรกไก่ชนอาจติดเชื้อได้เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอ หลายซุ้มอาจใช้ยาแก้หอบหืดจำพวกยาซาลบูทามอล ยาเทอร์บูทาลีนผสมให้กินก็อาจจะช่วยได้แต่ต้องระวังหากให้เยอะไปไก่อาจน็อคยาได้เพราะยานี้จะไปขยายหลอดลมรวมทั้งกระตุ้นการเต้นของหัวใจมากขึ้นซึ่งถ้าเป็นการแข่งกีฬาสากลเขาห้ามใช้เด็ดขาดแต่สำหรับไก่คงไม่ได้ห้ามเอาไว้